วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559


ศรีธนญชัย

กล่าวถึงนางแก้วผู้ใจบุญ นางผู้นี้ชอบทำบุญทำทานอยู่เสมอ และออกไปทำบุญอยู่ที่วัดตลอดพรรษามิเคยขาด วันหนึ่ง นางอยากจะไปทำบุญที่วัดหนึ่งที่ซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ จึงได้เตรียมข้าวปลาอาหารให้พร้อมเพื่อที่จะไปตักบาตร แต่วันนั้นฝนตกอย่างหนักจนเกิดน้ำท่วมทำให้นางไม่อาจจะข้ามฝากไปทำบุญได้ เผอิญมีพระรูปหนึ่งพายเรือผ่านมา นางจึงขออาศัยโดยสารเรือเพื่อข้ามฟากไปกับพระรูปนี้ แต่พระรูปนั้นกลับรีบร้อนไม่ยอมหยุดฟังคำพูดของนางเลย นางจึงโกรธมากและกล่าวออกมาว่า ขอให้มีลูกชายเพื่อที่ได้อยู่ร่วมกันกับพระรูปนั้น และใช้กรรมเวรนี้ให้จงได้ ว่าแล้วก็พลางโยนของที่เตรียมจะไปทำบุญตักบาตรลงไปในน้ำ
ไม่นานคำอธิษฐานของนางก็เป็นความจริง นางคลอดลูกออกมาเป็นชาย และตั้งชื่อลูกว่า ‘’ ไอ้กะตำป๋า ” (ศรีธนญชัย) เมื่ออายุได้ ๑๑ – ๑๒ ขวบ นางก็ส่งบุตรชายไปอยู่วัด เพื่อไปอยู่กับพระรูปที่ไม่ให้นางโดยสารเรือข้ามฝากในวันนั้น
วันหนึ่ง พระสั่งให้ศรีธนญชัยเอาผ้าไปซัก เมื่อศรีธนญชัยซักเสร็จก็เอาไปตากไว้ที่กองทราย พอดีมีหมาตัวหนึ่งผ่านมา ศรีธนญชัยจึงเกิดความคิดที่จะแกล้งพระรูปนี้ เด็กชายจึงไปหาน้ำตาลอ้อยกับงาดำมาผสมกันปั้นเป็นก้อนกลมๆให้คล้ายกับก้อนขี้หมา แล้วนำไปวางไว้บนผ้าของพระที่ตากไว้ เมื่อพระมาเห็นเข้าก็เรียกศรีธนญชัยมาต่อว่าอย่างหนัก และลงโทษให้ศรีธนญชัยกินขี้หมาก้อนนั้นเสีย ศรีธนญชัยแก้ตัวว่าเพราะมัวแต่ไปทำงาน จึงไม่ได้อยู่เฝ้าผ้าที่ตากเอาไว้ แต่พระก็ยังบังคับให้ศรีธนญชัยกินก้อนขี้หมาก้อนนั้นให้ได้ ศรีธนญชัยจึงหยิบก้อนนั้นขึ้นมากินหน้าตาเฉย จนทำให้พระเกิดความสงสัยถึงความเอร็ดอร่อยที่ศรีธนญชัยแสดงออกมาและขอลองชิมดูบ้าง พระจึงให้สั่งศรีธนญชัยบีบเอาขี้หมาออกมาให้หมดเพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยนี้ พอเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อหมาผ่านมา ศรีธนญชัยจึงล่อหมาโดยเอาประตูหนีบตัวมันไว้จนขี้หมาไหลออกมา ศรีธนญชัยจึงเรียกให้พระมากินขี้หมาเพื่อเป็นการแก้แค้นให้แม่ได้สำเร็จในครั้งที่หนึ่ง
ต่อมาอีกวันหนึ่งพระมีธุระต้องเข้าไปในเมือง จึงสั่งศรีธนญชัยว่าหากมีใครมาเรียกไม่ให้เปิดประตู ศรีธนญชัยสบโอกาสที่จะแกล้งพระเป็นครั้งที่สอง เพราะเมื่อตกดึกพระก็กลับมาแล้วตะโกนเรียกให้ศรีธนญชัยเปิดประตู แต่ศรีธนญชัยก็ตะโกนตอบกลับไปว่า หลวงพี่สั่งไม่ให้เปิด ทำให้พระรูปนั้นไม่สามารถเข้าห้องได้ และต้องนอนตัวงอก่ออยู่นอกกุฏิจนสว่าง
ผ่านไปหลายปีจนศรีธนญชัยมีอายุมากขึ้น แต่ก็ยังร่ำเรียนอะไรไม่สำเร็จเสียทีเพราะมัวแต่แกล้งพระไปวันๆ วันหนึ่งศรีธนญชัยไปหาพระแล้วบอกว่าตนจะไปค้าขายเกลือ ด้วยความที่พระอยากจะออกไปเห็นบ้านเมืองอื่นบ้าง พระจึงขอตามไปด้วย ศรีธนญชัยรู้ดีว่าพระจะขี่ม้าไป จึงแกล้งเอาหมามุ่ยไปเคาะใส่ไว้ที่อานม้า ส่วนศรีธนญชัยก็หาบเกลือเดินตามไป



เรื่องอิเหนา

กล่าวถึงกษัตริย์แห่งวงศ์เทวา ๔ องค์ มีนามว่า ‘กุเรปัน’ ‘ดาหา’ ‘กาหลัง’ และ ‘สิงหัดส่าหรี’ ทุกพระองค์ปกครองเมืองของตนโดยมีชื่อเมืองตามชื่อกษัตริย์แต่ละองค์ นอกจากนี้ยังมีนครหมันหยาซึ่งเกี่ยวดองเป็นญาติกันกับนครเหล่านี้ตั้งอยู่ในละแวกไม่ไกลกันด้วย

ท้าวกุเรปันได้อภิเษกสมรสกับนางนิหลาอระตาแห่งเมืองหมันหยา ส่วนท้าวดาหาก็ได้อภิเษกสมรสกับนางดาหราวาตีเช่นกัน กษัตริย์แห่งวงศ์เทวามีมเหสี ๕ องค์เรียงลำดับตามตำแหน่งดังนี้ ประไหมสุหรี มะเดหวี มะโต ลิกู และเหมาหลาหงี

เวลาต่อมา มเหสีเอกของท้าวกุเรปันได้ให้ประสูติพระโอรสพระองค์หนึ่ง ซึ่งโอรสองค์นี้มีวาสนาสูงส่งนัก ฝ่ายองค์ปะตาระกาหลา ซึ่งเป็นต้นวงศ์เทวาแต่สิ้นพระชนม์ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว ได้นำกริชวิเศษลงมาให้พร้อมจารึกชื่อไว้บนกริชว่า “หยังหยังหนึ่งหรัดอินดรา อุดากันสาหรีปาตี อิเหนาเองหยังตาหลา” หรือเรียกสั้นๆว่า อิเหนา ฝ่ายจินตะหราวาตี ผู้เป็นมเหสีเอกของท้าวหมันหยาก็ได้ประสูติธิดา ส่วนท้าวดาหากับมเหสีเอกก็ได้ให้ประสูติธิดาของตนเช่นเดียวกัน และตั้งชื่อว่า บุษบา ซึ่งท้าวกุเรปันได้ขอให้บุษบาและอิเหนาเป็นคู่ตุนาหงัน (คู่หมั้น) กันไว้เพื่อเป็นการสืบราชประเพณี

เมื่ออิเหนาเติบโตขึ้นก็เป็นชายที่มีรูปโฉมที่แสนงดงาม และมีความชำนาญในการใช้กริช ซึ่งครั้นเมื่อพระอัยกีเมืองหมันหยาสิ้นพระชนม์ อิเหนาก็ได้ไปร่วมงานปลงพระศพแทนพระบิดาและพระมารดาซึ่งไม่สามารถไปได้ ซึ่งครั้งนี้เองทำให้อิเหนาได้ไปพบรักกับนางจินตะหรา และได้นางมาเป็นชายา แม้จะมีเสียงคัดค้านจากท้าวกุเรปัน แต่อิเหนาก็ไม่ฟัง และทำให้อิเหนาต้องบอกเลิกตุหนาหงันกับนางบุษบา

เมื่อท้าวดาหาทราบเรื่องก็รู้สึกโกรธเคืองเป็นอย่างมาก บังเอิญว่ามีจรกาซึ่ง “รูปชั่วตัวดำ” มาขอตุนาหงันกับธิดาของตน ท้าวดาหาก็ยอมรับทันทีด้วยความโกรธแค้นในตัวอิเหนา

ฝ่ายองค์อสัญแดหวาหรือปะตาระกาหลาผู้เป็นเทวดาต้นราชวงศ์เทวา ก็เกิดความไม่พอพระทัยในความรักครั้งนี้เป็นอย่างมาก และเห็นว่าจะต้องดัดนิสัยอิเหนาให้รู้สึกสำนึกตัวเสียบ้าง คิดได้ดังนั้นก็จึงบันดาลให้วิหยาสะกำผู้เป็นโอรสของท้าวกะหมังกุหนิงเก็บรูปนางบุษบาได้ เมื่อวิหยาสะกำได้เห็นรูปโฉมของบุษบาก็เกิดอาการคลั่งไคล้และรบเร้าให้พระบิดาไปขอมาเป็นชายา แต่ท้าวดาหาก็ปฏิเสธที่จะให้ตัวธิดาแก่วิหยาสะกำ ทำให้ท้าวกะหมังกุหนิงจำเป็นต้องยกทัพไปรบเพื่อแย่งชิงนางบุษบามาให้ลูกของตน

 



เรื่องเงาะป่า
คนัง เป็นเงาะป่าที่อาศัยอยู่ในป่าจังหวัดพัทลุง และมีเพื่อนสนิทชื่อไม้ไผ่ วันหนึ่งคนังชวนไม้ไผ่ออกไปเที่ยวเป่านกที่ป่า และหาเผือกหามันตามประสา ในขณะที่คนังกับไม้ไผ่กำลังปิ้งเผือกกันอยู่นั้น ซมพลากก็บังเอิญผ่านมาเจอ ซมพลาถามถึงลำหับซึ่งเป็นพี่สาวของไม้ไผ่ ซึ่งเป็นหญิงสาวที่ตนแอบหลงรักมานาน ฝ่ายไม้ไผ่ก็ตั้งใจให้ลำหับพี่สาวของตนได้แต่งงานกับซมพลาอยู่แล้ว ซมพลาจึงได้ฝากดอกไม้กับเล็บเสือให้ไม้ไผ่เพื่อนำไปให้ลำหับ พร้อมฝากข้อความในใจไปบอกนาง
ฝ่ายนางลำหับเมื่อได้ฟังที่ไม้ใผ่บอกมานั้น ก็นึกหวาดหวั่นในใจแต่ไม่คิดจะตอบโต้ไป เช้าวันหนึ่งไม้ไผ่จึงได้ชวนลำหับไปเก็บดอกไม้ในป่า ตามแผนที่ซมพลาวางไว้ ระหว่างที่กำลังเก็บดอกไม้ บังเอิญมีงูตัวหนึ่งเลื้อยมารัดแขนนางลำหับไว้ นางลำหับตกใจมากจึงสลบไป ส่วนซมพลาที่แอบสุ่มดูอยู่ ก็รีบวิ่งเข้ามาฆ่างู และตรวจดูว่านางโดนงูกัดหรือไม่ แต่เคราะห์ยังดีที่ลำหับปลอดภัย
เมื่อลำหับฟื้นขึ้นมา ก็ตกใจที่ซมพลานอนกอดตนอยู่  ซมพลารีบถามถึงอาการและกล่าวประโยคสุดซึ้งว่า “หากเจ้าตายไป พี่นี้จักตายตาม” ลำหับซึ้งในน้ำใจจึงกล่าวขอบคุณซมพลา  และคิดว่าจะตอบแทนบุญคุณจนกว่าชีวิตจะหาไม่
การแต่งงานของฮเนากับลำหับถูกฝ่ายผู้ใหญ่ของฮเนาตระเตรียมจัดไว้ให้ที่ต้นตะเคียน ระหว่างที่ขบวนขันหมากของเจ้าบ่าวกำลังเคลื่อนเข้าสู่พิธีวิวาห์ นางลำหับก็ยังคงนั่งร้อนรนใจ ลำหับไม่ได้รักฮเนาแต่ก็ไม่ได้นึกรังเกลียด และยังคงนึกถึงบุญคุณของซมพลาที่เคยช่วยชีวิตไว้ และเคยถูกเนื้อต้องตัวกัน
ฝ่ายไม้ไผ่เมื่อเห็นงานแต่งกำลังวุ่นวายก็นำข่าวไปบอกซมพลา ซมพลาได้ฝากไม้ไผ่มาบอกแก่ลำหับว่า ตนจะพาลำหับหนี เมื่อลำหับได้ฟังดังนั้นก็โล่งใจ และเตรียมแต่งตัวเพื่อเข้าพิธีวิวาห์ เมื่อขบวนมาถึงลานใต้ต้นตะเคียนและทำพิธีแต่งงานจนเสร็จ แต่การแต่งงานจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อบ่าวสาวจะต้องเข้าป่าด้วยกัน ๗ วัน ๗ คืน ฮเนาและลำหับจึงเดินทางเข้าไปในป่าตามพิธี
เมื่อเข้าไปในป่า อ้ายแคที่แอบซุ่มอยู่ก็เอาหินขว้างใส่ฮเนา ฮเนาโกรธแค้นจึงสั่งให้ลำหับรอตนอยู่ ส่วนตนจะออกไปตามหาคนที่ขว้างหินใส่ เมื่อฮเนาเดินพ้นไปนั้น ซมพลาก็เข้ามาพาลำหับหนีไป ด้านฮเนาเมื่อตามหาคนขว้างไม่เจอ ก็นึกสังหรณ์ใจและรีบกลับมาหาลำหับ แต่ก็ไม่พบนาง ฮเนาเรียกหาลำหับทั่วป่าทั้งคืนแต่ก็ยังไม่พบ พอรุ่งเช้าจึงตัดสินใจกลับบ้าน
ซมพลาพาลำหับมาอาศัยอยู่ที่ถ้ำลึกในป่า ด้วยความรักที่ทั้งสองมีให้ต่อกัน ทั้งคู่จึงมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง วันหนึ่ง ซมพลากำลังจะออกไปหาเสบียงอาหาร แต่ลำหับห้ามไว้เพราะกลัวลางร้ายที่ฝันไว้จะกลายเป็นจริง ซมพลาไม่ฟังและยืนยันจะออกไปหาเสบียงอาหาร โดยทิ้งลำหับไว้เพียงลำพัง